“ปรับตัวทันบัญชีใหม่! NPAEs กับผลกระทบต่อธุรกิจ SME”
เรื่องที่มีผลกระทบต่อ SME หรือมาตรฐานการบัญชี สำหรับกิจการที่ไม่มีส่วนได้เสียสาธารณะ
ในปัจจุบัน กิจการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) มีบทบาทสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งด้านการจ้างงาน การผลิต และการขับเคลื่อนนวัตกรรม แต่การดำเนินธุรกิจของ SME มักเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน โดยเฉพาะด้านการจัดทำบัญชีและรายงานทางการเงิน ที่ต้องเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด เพื่อให้ข้อมูลทางการเงินมีความถูกต้อง โปร่งใส และสะท้อนผลการดำเนินงานที่แท้จริง
มาตรฐานการบัญชีสำหรับกิจการที่ไม่มีส่วนได้เสียสาธารณะ (NPAEs) คืออะไร?
มาตรฐาน NPAEs (Non-Publicly Accountable Entities) เป็นมาตรฐานการบัญชีที่ออกโดยสภาวิชาชีพบัญชี เพื่อให้กิจการที่ไม่มีส่วนได้เสียสาธารณะ เช่น ธุรกิจ SME ใช้เป็นแนวทางในการจัดทำงบการเงิน โดยมีความซับซ้อนน้อยกว่ามาตรฐานสากล (TFRS for PAEs) เพื่อให้เหมาะกับขนาดและความซับซ้อนของกิจการขนาดเล็กและกลาง
.png)
1. การวัดมูลค่าทรัพย์สินและหนี้สินตามมูลค่ายุติธรรม (Fair Value)
การปรับมาตรฐานใหม่เปิดโอกาสให้กิจการเลือกใช้มูลค่ายุติธรรมในบางกรณี เช่น สินทรัพย์ถาวร หรือเงินลงทุน
ผลกระทบ: SME ต้องมีการประเมินมูลค่าทรัพย์สินโดยผู้เชี่ยวชาญ และอาจเพิ่มต้นทุนการจัดทำบัญชี
2. การรับรู้รายได้ (Revenue Recognition)
แนวทางใหม่เน้นให้รับรู้รายได้เมื่อกิจการได้โอนความควบคุมของสินค้า/บริการให้ลูกค้า
ผลกระทบ: SME ที่เคยรับรู้รายได้ตามการออกใบแจ้งหนี้หรือการรับเงิน อาจต้องปรับระบบบัญชีให้ตรงกับการส่งมอบงานจริง
3. เครื่องมือทางการเงิน (Financial Instruments)
ผลกระทบ: ต้องมีการจำแนกประเภทและวัดมูลค่าอย่างถูกต้องตามหลักบัญชีใหม่
4. การด้อยค่าของสินทรัพย์ (Impairment)
ผลกระทบ: ต้องมีการตรวจสอบสินทรัพย์ เช่น อาคาร เครื่องจักร หรือสินค้าคงเหลืออย่างสม่ำเสมอ
5. การเปิดเผยข้อมูลในงบการเงิน
มาตรฐานใหม่ให้ความสำคัญกับ “การเปิดเผยข้อมูล” มากขึ้น เช่น การเปิดเผยรายการระหว่างกันกับบุคคลที่เกี่ยวข้อง
ผลกระทบ: SME ต้องจัดเก็บข้อมูลธุรกรรมอย่างเป็นระบบ และอาจต้องอาศัยโปรแกรมบัญชีที่รองรับการรายงานเพิ่มเติม
ประโยชน์ที่ SME ได้รับจากการปฏิบัติตามมาตรฐาน NPAEs
สร้าง ความน่าเชื่อถือ ให้กับกิจการต่อธนาคาร นักลงทุน หรือพันธมิตรทางธุรกิจ
ช่วยให้ วิเคราะห์ผลการดำเนินงาน ได้แม่นยำขึ้น วางแผนการเงินได้ดีขึ้น
ลดความเสี่ยงในการถูกตรวจสอบจากกรมสรรพากรหรือหน่วยงานกำกับดูแล
เป็น พื้นฐานสำคัญในการขยายธุรกิจ หรือเข้าสู่ตลาดทุนในอนาคต
ข้อเสนอแนะสำหรับผู้ประกอบการ SME
ติดตามข่าวสารจากสภาวิชาชีพบัญชีอย่างต่อเนื่อง เพื่อทราบการปรับปรุงมาตรฐาน
จัดให้มี ระบบบัญชีที่เหมาะสมกับขนาดของกิจการ เช่น โปรแกรมบัญชีออนไลน์
ปรึกษานักบัญชีหรือผู้สอบบัญชีรับอนุญาต เพื่อวางแผนและจัดทำงบการเงินให้ถูกต้องตามมาตรฐาน
พัฒนาความรู้ด้านการเงินภายในทีมงาน เพื่อให้เข้าใจผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงมาตรฐานใหม่

SME ต้องยื่นแบบภาษีประจำปี โดยคำนวณจาก กำไรสุทธิหลังหักค่าใช้จ่ายทางธุรกิจที่ยอมรับได้ตามกฎหมาย
การทำบัญชีอย่างถูกต้องช่วยให้:
คำนวณภาษีได้ถูกต้อง
ลดความเสี่ยงถูกตรวจสอบโดยกรมสรรพากร
ใช้สิทธิ์ลดหย่อนหรือยกเว้นภาษี สำหรับ SME ขนาดเล็กหรือรายได้ไม่เกินเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
SME ต้องพิจารณาว่ารายได้เกินเกณฑ์จด VAT หรือไม่ (ในไทยคือ 1.8 ล้านบาท/ปี)
หากจด VAT: ต้องออกใบกำกับภาษีทุกครั้งที่ขายสินค้า/บริการ สามารถหัก VAT ขาเข้าจาก VAT ขาออก ลดภาระภาษี
หากไม่จด VAT: ราคาขายอาจรวม VAT แต่ไม่สามารถหัก VAT ขาเข้าได้
เกิดขึ้นเมื่อ SME จ่าย: ค่าแรง ค่าบริการ ค่าเช่า ดอกเบี้ยหรือเงินปันผล
SME ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายตามอัตราที่กฎหมายกำหนดและส่งให้กรมสรรพากรตรงเวลา
การบันทึกบัญชีอย่างชัดเจนช่วยให้: ยื่นแบบได้ถูกต้อง ลดความเสี่ยงถูกปรับ
ขึ้นอยู่กับประเภทและขนาดกิจการ เช่น:
ภาษีป้าย – หากติดป้ายโฆษณาหรือป้ายกิจการ
ภาษีโรงเรือน – อาคารที่ใช้ทำธุรกิจ
ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง – สำหรับโรงงานหรือสำนักงานของ SME
การบันทึกค่าใช้จ่ายเหล่านี้ในบัญชีช่วย:
วางแผนและบริหารจัดการภาษีท้องถิ่นได้ง่าย
ป้องกันการจ่ายเกินหรือพลาดการยื่น
ภาษีสรรพสามิต (Excise Tax)
เก็บกับสินค้าเฉพาะบางประเภท เช่น เครื่องดื่ม แอลกอฮอล์ ยาสูบ น้ำมัน หรือสินค้าฟุ่มเฟือย
SME ที่ผลิตหรือจำหน่ายสินค้าประเภทนี้ต้องจดทะเบียนสรรพสามิต และคำนวณภาษีตามอัตราที่กำหนด
ภาษีนำเข้า-ส่งออก (Import/Export Duties)
SME ที่นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศหรือส่งออก ต้องเสียภาษีศุลกากร
ต้องยื่นเอกสารผ่านกรมศุลกากร และอาจมี VAT หรือภาษีอื่นเพิ่มเติม
ภาษีธุรกิจเฉพาะกิจ (Specific Business Taxes)
สำหรับบางกิจการ เช่น โรงแรม, ร้านอาหาร, ร้านค้าออนไลน์ที่ขายสินค้าเฉพาะ
อาจต้องจ่ายค่าธรรมเนียมใบอนุญาต หรือภาษีธุรกิจเฉพาะอื่น ๆ
ภาษีสิ่งแวดล้อม / ภาษีคาร์บอน
สำหรับ SME ที่ใช้พลังงานมากหรือมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น โรงงานอุตสาหกรรม
มีภาษีหรือค่าปรับตามกฎหมายสิ่งแวดล้อม

ภาระการยื่นภาษี
SME ต้องยื่นภาษีเงินได้นิติบุคคลประจำปี ตามกำไรสุทธิ
หากบัญชีไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วน จะทำให้คำนวณภาษีผิดพลาด เสี่ยงถูกปรับ
การใช้มาตรฐานบัญชี SME (TFRS for SMEs) ช่วยให้การคำนวณภาษีง่ายและถูกต้องขึ้น
การจดทะเบียน VAT
SME ต้องพิจารณาว่ารายได้เกินเกณฑ์จด VAT หรือไม่ (ในไทยคือ 1.8 ล้านบาท/ปี)
ผลกระทบ:
ถ้าไม่จด VAT - ไม่สามารถหัก VAT ขาเข้าได้ ทำให้ต้นทุนสูงขึ้น
ถ้าจด VAT - ต้องทำระบบบัญชีเพื่อบันทึก VAT ขาเข้าและขาออก ทำให้ภาระงานบัญชีเพิ่มขึ้น
ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (Withholding Tax)
SME ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย เมื่อจ่ายค่าบริการ, ค่าเช่า, หรือค่าจ้างบุคคล/นิติบุคคลอื่น
ผลกระทบ: ต้องบันทึกและรายงานภาษีหัก ณ ที่จ่ายให้ถูกต้อง หากพลาดอาจถูกปรับและเสียค่าปรับ
ภาษีท้องถิ่น
เช่น ภาษีป้าย, ภาษีโรงเรือน, ภาษีที่ดิน
ผลกระทบ: ต้องจัดทำบัญชีและเตรียมเอกสารให้ครบถ้วน หากไม่ทำจะเสียค่าปรับหรือเสียโอกาสใช้สิทธิประโยชน์
สิทธิประโยชน์ทางภาษี
SME อาจมีสิทธิเครดิตภาษีหรือค่าลดหย่อน เช่น
การลงทุนในเทคโนโลยีหรืออุปกรณ์ใหม่
การจ้างงานคนพิการหรือผู้สูงอายุ
การลงทุนพลังงานสะอาด
ผลกระทบ: ต้องมีระบบบัญชีและเอกสารครบถ้วนเพื่อใช้สิทธิประโยชน์ได้จริง
ความเสี่ยงและโอกาส
ความเสี่ยง: หากบัญชีไม่ชัดเจน - คำนวณภาษีผิดพลาด, เสียค่าปรับ, เสียเครดิตภาษี
โอกาส: การวางแผนภาษีดี - ลดภาระภาษี, ใช้สิทธิประโยชน์, เพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน
แม้มาตรฐานการบัญชีสำหรับกิจการที่ไม่มีส่วนได้เสียสาธารณะ (NPAEs) จะดูซับซ้อนในช่วงแรก แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับการจัดการทางการเงินของธุรกิจ SME ให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และพร้อมต่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต